Monday, June 30, 2008

การที่ตัดสินใจลงทุนถาวร

คุณลูำกอีสาน Say :

PostPosted: Sun Jun 29, 2008 5:51 pm Post subject: Re: รบกวนถามพี่ๆ Mon money, chatchai, ลูกอีสาน และท่านอื่นๆค Reply with quote

Tibular wrote:
อยากทราบความคิดตอนที่พี่ๆตัดสินใจออกจากงานประจำมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวคับ อะไรเป็นที่มาของการตัดสินใจคับ รู้สึกอย่างไร กลัวไหมคับที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในตลาด และก็ไม่มีรายได้ประจำ ห่วงไหมคับกับคนที่อยู่ข้างหลัง อะไรเป็นแรงผลักดัน และพี่ๆมีการวางแผนรับมือกับการตัดสินใจนี้อย่างไรถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คิด ความรู้ ประสบการณ์ และเงินทุน เป็นสิ่งจำเป็นในการเป็นนักลงทุน แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราสามารถจะเป็นนักลงทุนที่ดีได้ อะไรเป็นสิ่งที่บอกพี่ๆว่าพร้อมแล้วคับ




ตอนตัดสินใจมาลงทุนอย่างเดียว ผมใช้เวลาตัดสินใจไม่นานเลยครับ ไม่ใช่เพราะทนงว่าฝืมือตัวเองดีอะไร Embarassed แต่เป็นเพราะตอนนั้นผมมีทางเลือกไม่มากนัก เพราะตกงานกระทันหัน พร้อมๆกับลูกคนแรกคลอดออกมา ถ้าผมจะหางานใหม่ก็คงเหมือนๆเดิม คือเงินเดือนน้อยมากไม่เกิน 15,000 บ/เดือน(ต่างจังหวัดที่ผมอยู่งานน้อยแต่แรงงานจบมหาลัยเยอะ) แถมต้องทำงาน 6 วัน กลับบ้านก็เกือบค่ำ เรียกว่าคุณภาพชีวิตต่ำกว่าเกณฑ์ แถมถ้าผมกลับไปทำงานก็ต้องจ้างคนเลี้ยงลูกตอนกลางวันอีก ค่าใช้จ่ายเลี้ยงเด็ก+ค่าน้ำมันรถไปทำงานก็มากกว่าครึ่งของเงินเดือนแล้ว ตอนนั้นเริ่มลงทุนได้ประมาณ 5 ปี ผลตอบแทนปีหลังๆก็ดูดีขึ้นแต่พอร์ตลงทุนยังไม่มีอิสรภาพทางการเงิน(ต่ำกว่า 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือน) แต่ด้วยเหตุผลข้างต้น ผมตัดสินใจลองดู ชีวิตเมื่อถึงทางสองแพร่ง ก็ต้องเลือกทางใดทางนึงครับ ถามว่าเสี่ยงไหม ถ้าทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาด ภรรยาผมยังมีรายได้ประจำที่มั่นคง ถึงผมไม่มีรายได้เลยก็ยังพออยู่ได้แบบกระเบียดกระเสียร พอร์ตลงทุนก็ยังพอมีให้กินบุญเก่าไปได้อีกหลายปี ถ้าแย่ที่สุดจริงๆก็กลับไปทำงานประจำใหม่ เท่านั้นจริงๆ ชีวิตผมต้นทุนต่ำครับ ความรู้ก็มี สองแขนสองขาก็ยังดี และผมไม่กลัวความลำบาก

ถ้าให้ผมแนะนำเล็กๆน้อยๆคนที่จะมาเป็นนักลงทุน
1.พอร์ตเงินลงทุนไม่ควรต่ำกว่า 200 เท่าของรายจ่ายประจำต่ำเดือน เช่นรายจ่ายประจำ 15,000 ต่อเดือนพอร์ตไม่ควรต่ำกว่า(15000*200)= 3 ล้าน หรือเท่ากับผลตอบแทน 6% ต่อปีครับ( 3000000*.06)= 180,000 บ/ปีหรือ 15,000/เดือน แต่ข้างต้นคิดเฉพาะค่าใช้จ่ายประจำนะครับ ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายไม่ประจำอีก เช่นค่ารถ ค่าบ้าน ค่าพยาบาล ดังนั้นถ้าให้ชัวน์หน่อย ผมคิดว่าพอร์ต 300-400 เท่าของรายจ่ายประจำน่าจะทำให้ออกมาลงทุนสบายใจกว่าครับ
2.ต้องพอจะมีประสบการณ์ลงทุนระดับนึง ลงทุนมาแล้วอย่างน้อย 5 ปี และผลตอบแทนควรชนะตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ที่สำคัญต้องรู้ตัวเองว่าเรามีความรู้ระดับไหน มีอารมย์มั่นคงพอที่จะรับกับความผันผวนของตลาดได้หรือไม่ หลายคนมีความรู้ว่าหุ้นตัวไหนดี แต่ซื้อขายผิดจังหวะขาดทุนเพราะอารมณ์ตลาดพาไป มีตัวอย่างให้เห็นเยอะครับ
3.เพื่อเพิ่มความแน่นอนอีกระดับ ถึงเราจะขาดทุนหุ้นหมดตัวก็ยังมีข้าวกิน เช่น มีรายได้ทางอื่นเช่นค่าเช่า ภรรยายังมีรายได้ประจำ ยังมีพ่อแม่จุนเจือ จะลดความกดดันไปได้เยอะครับ
4.แรงกดดันทางสังคม ถ้าเรากำลังจะขอสาวแต่งงาน อย่าเพิ่งไปบอกพ่อแม่ฝ่ายหญิงนะครับ ว่าเราเล่นหุ้นกิน จะไม่มีใครยกลูกสาวให้ สังคมยังไม่ยอมรับว่าอาชีพนี้จะยั่งยืนเลี้ยงชีพได้ แถมถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจ (ก็มีส่วนจริง Laughing ) นอกจากนั้นยังไม่ค่อยมีสังคมเพื่อนฝูงเหมือนทำงานประจำครับ (แต่นี่ไม่จริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยแต่ละคนด้วย อย่างผมมีเพื่อนมากกว่าตอนทำงานประจำเสียอีก)

ส่วนคนที่ผมคิดว่ายังไม่พร้อมที่จะออกมาลงทุนก็คือไม่ผ่านเกณฑ์คร่าวๆ 4 ข้อที่ผมโพสต์ข้างตน หรือคนที่ผ่านเกณฑ์ แต่ยังมีความสุขกับงานประจำ รู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีประโยชน์ต่อคนอื่น อย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องออกจากงานประจำ ที่จริงงานประจำกับการลงทุนสามารถทำควบคู่กันได้ และสามารถทำได้ดีทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับ Surprised

ข้อเสียของอาชีพนักลงทุนเท่าที่เจอคือสังคมจะแคบลง การพัฒนาความรู้ใหม่ๆด้านการจัดการในองค์กรณ์ธุรกิจจะหายไปหมด สิ่งที่พอจะชดเชยกันได้คือเพื่อนๆในแวดวงการลงทุน ความรู้ใหม่ๆในการลงทุนครับ และที่ผมคิดว่าเป็นข้อดีที่ชัดเจนคือ

1.ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ลองคิดดูว่าเราทำงานชิ้นนึงเหมือนกัน โดยกรณีแรกมีเวลาให้ทำ 2 ชม. และอีกกรณีให้เวลาทำ 2 วัน แน่นอนว่าถ้าเรามีเวลาทำมากกว่า ผลชิ้นงานก็น่าจะออกมาดีกว่า การลงทุนก็เช่นกันครับ

2.ต่อเนื่องจากข้อแรก การลงทุนค่อนข้างแฟร์ ไม่เข้าใครออกใคร ถ้าเราทำงานการลงทุนได้ดี เราจะได้เงินดี แต่ถ้าเราทำงานประจำ ไม่แน่นะครับ ว่าเราทำงานได้ดีแล้วจะได้เงินเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ยิ่งในแวดวงราชการ คนทำงานแย่ คนทำงานดี คนทำงานดีมาก ได้เงินต่างกันไม่มากหรอกครับ (ที่พูดถึงเรื่องเงินไม่ใช่หน้าเงินนะครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคนคือคุณภาพชีวิต ซึ่งเงินเป็นปัจจัยสำคัญ)

3.ชีวิตเราเป็นของเรา เรายืนอยู่บนเท้าเราเอง ถ้าใครทำงานประจำเป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปคงพอจะทราบนะครับ ว่าการรับเร่งเพื่อให้เข้างานทันตอกบัตร อิสระที่จะพูดจะคิด ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาไล่เราออก ไม่ต้องไปไหว้ ไปพยักหน้าหนึกๆกับเจ้านาย กับลูกค้า อิสระที่จะไปทำธุระปะปัง ไปธนาคาร พาลูกไปฉีดวัคซีน ไปไปรษณีย์ ต่อทะเบียบรถ งานบวช งานแต่ง งานศพ สารพัด.... เหล่านี้หากเราเป็นนักลงทุนจะไม่มีปัญหา ความเครียดความกดดันจะหายไปเกือบหมด คุณภาพชีวิตจะดีขึ้นมาก


Yoyo Say:

ข้อเขียนของพี่ลูกอีสานนี่เฉียบคมตลอดจริงๆ.. ยิ่งอ่านแล้วก็ยิ่งได้ idea ที่เพิ่มเรื่อยๆ ขอคารวะ

ผมเองก็ออกมาลงทุนเป็นอาชีพได้พักนึงแล้วเหมือนกัน จะขอยืมตอบในมุมของพี่ลูกอีสานนะครับ

Quote:
1.พอร์ตเงินลงทุนไม่ควรต่ำกว่า 200 เท่าของรายจ่ายประจำต่ำเดือน


port ลงทุนที่ผมเคยคิดว่าจะออกลงทุนอย่างเดียวก็คิดโดยใช้หลักการคล้ายๆกันนะครับ คือรายได้จากเงินปันผลอย่างเดียวควรจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ครบ โดยประเมินว่าเงินปันผลน่าจะได้แบบ safeๆ ประมาณ 5% ต่อปี หรือคิดเป็นเงินลงทุน 240 เท่าของรายจ่าย แต่ผมมองว่ารายจ่ายนี้ควรจะเป็นรายจ่ายในระยะยาว คือหลังจากคำนึงถึงเวลาที่มีครอบครัว เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ด้วย.. ผมไม่ใช่คนที่สุรุยสุร่ายมาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่ประหยัดมากมาย ผมประเมินรายจ่ายระยะยาวของผมไว้ที่เดือนละ ประมาณ 100,000 บาท (เยอะหน่อย แต่ผมคิดว่าเผื่อไว้ก่อนเป็นดี) เพราะงั้นผมจะต้องมี port ลงทุนอย่างต่ำคือ 24 ล้านบาท

พอดีว่าช่วงที่ผมเรียนโทอยู่ ผมก็ไม่ได้ทำงานอะไร อาศัยว่าใช้เงินทุนกินไปเรื่อยๆ ตอนเริ่มเรียน port ก็ยังไม่ถึงจุดที่จะเป็นนักลงทุนอาชีพได้ ระหว่างเรียนไปก็ยังตั้งใจครับว่าเรียนจบปุ๊บก็จะออกไปหางาน ระหว่างเรียนอยู่เองก็มีสมัครงานไว้บ้าง สัมภาษณ์งานไว้บ้าง แต่จังหวะช่วงที่ผมเรียนจบ port การลงทุนมันก็โตขึ้นค่อนข้างเร็ว ทำให้พอถึงเวลาเรียนจบออกมาจริงๆแล้ว ผมก็เลยไม่ได้หางานต่อ

Quote:
2.ต้องพอจะมีประสบการณ์ลงทุนระดับนึง ลงทุนมาแล้วอย่างน้อย 5 ปี และผลตอบแทนควรชนะตลาดอย่างมีนัยสำคัญ


ณ เวลาที่ผมเรียนจบและออกมาลงทุน ผมมีประสบการณ์มาประมาณ 4.5 ปี .. ตอนนั้นก็คิดเหมือนกันครับว่าประสบการณ์ของตัวเองเพียงพอรึเปล่า เพราะที่ผ่านมาก็ลงทุนในปีที่ตลาดไม่ได้แย่มาก คือไม่ได้ผ่านวิกฤตมา แต่ก็หลอกๆตัวเองเหมือนกันว่าเราน่าจะเอาตัวรอดได้ ถ้าวิกฤตมาเยือนจริงๆ

Code:
3.เพื่อเพิ่มความแน่นอนอีกระดับ ถึงเราจะขาดทุนหุ้นหมดตัวก็ยังมีข้าวกิน เช่น มีรายได้ทางอื่นเช่นค่าเช่า ภรรยายังมีรายได้ประจำ ยังมีพ่อแม่จุนเจือ จะลดความกดดันไปได้เยอะครับ


ที่บ้านก็มีธุรกิจอยู่ รวมถึงผมก็ยังมองว่าถ้าพลาดยังไง ผมเองก็ไม่ได้มีรายจ่ายอะไรเยอะมาก.. ถ้าหมดตัวจริงๆ ก็คงออกไปหางานได้ไม่ยาก คงจะเอาตัวรอดไปได้โดยไม่ได้เดือดร้อนมาก


Quote:
4.แรงกดดันทางสังคม ถ้าเรากำลังจะขอสาวแต่งงาน อย่าเพิ่งไปบอกพ่อแม่ฝ่ายหญิงนะครับ ว่าเราเล่นหุ้นกิน จะไม่มีใครยกลูกสาวให้ สังคมยังไม่ยอมรับว่าอาชีพนี้จะยั่งยืนเลี้ยงชีพได้ แถมถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจ (ก็มีส่วนจริง ) นอกจากนั้นยังไม่ค่อยมีสังคมเพื่อนฝูงเหมือนทำงานประจำครับ (แต่นี่ไม่จริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยแต่ละคนด้วย อย่างผมมีเพื่อนมากกว่าตอนทำงานประจำเสียอีก)


- พอดียังไม่ได้ขอสาวแต่งงาน ปัญหาเรื่องนี้ก็ตกไป ไม่เคยได้คิดเลย
- เรื่องถูกมองเป็นคนขี้เกียจ นี่ผมว่าก็มีส่วนจริง Laughing (เหมือนพี่ลูกอีสาน)
- ส่วนเรื่องสังคม ตอนนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผม concern มากที่สุดครับ ก่อนตัดสินใจจริงๆก็คิดหนักอยู่เหมือนกันว่าถ้าลงทุนอย่างเดียวนี่เพื่อนจะน้อยลงมากมั๊ย จะเบื่อมั๊ยจะเหงามั๊ย... แต่ช่วงที่ใกล้จะออกมาลงทุนจริงๆ เริ่มเห็นเพื่อนๆนักลงทุนรุ่นใกล้ๆกัน ลงทุนเป็นอาชีพมากขึ้นเรื่อยๆ เลยคิดว่าปัญหาตรงนี้คงไม่หนักหนามาก.. แล้วพอออกมาลงทุนจริงๆกลับกลายเป็นว่าเรามีเวลามากขึ้น การออกไปพบปะสังคมใหม่ๆก็มากขึ้น รู้สึกคล้ายๆกะพี่ลูกอีสานครับว่าเพื่อนที่ Hang out ด้วยกันบ่อยๆนี่เยอะกว่าทำงานประจำซะอีก

โดยสรุปแล้วหลังจากที่ผมออกมาลงทุนอย่างเดียวเป็นเวลาประมาณ 1 ปี ก็ไม่รู้สึกเสียดายครับที่ตัดสินใจไป แต่ของอย่างนี้ก็คงต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกหลายปีครับ


คุณนริศ Say:

ที่จริงว่าจะไม่โพสท์ เพราะผมยังไม่ได้เลิกจากงานประจำ แต่มันคันไม้คันมือ ขอแชร์ความเห็นนะครับ

คุณลูกอิสานสามารถยืนได้ด้วยขาการลงทุนของตนเอง ต้องเราก็ต้องยอมรับว่า จะมีสักกี่คนที่เป็นเซียนหุ้น มีกี่คนที่เก่งเหมือนเขา เพราะฉะนั้นผมว่าปลอดภัยไว้ก่อนจะดีกว่า สำหรับคนที่คิดจะลงทุนเพียงอย่างเดียว

ก่อนหน้านี้สักครึ่งปี ผมก็มีแนวคิดว่าจะเลิกทำงานประจำ เพราะถ้าพูดถึงเกณฑ์ทั้ง4ข้อ ผมก็ผ่านมาแล้ว และภาระที่ต้องแบกก็เบาบางลงแล้ว เราจะเหนื่อยไปทำไม

แต่มาสองเดือนหลังนี่ ผมก็คิดอีกมุมหนึ่งว่า ที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ที่ทำงานประจำ เราก็ลงทุนในหุ้นได้ งานประจำของเราก็เป็นcash cow ตัวใหญ่ที่ใครๆก็อยากได้ แล้วเราจะเลิกไปทำไม ถ้าเรายังมีความสุข ถึงแม้นจะเหนื่อยกายและใจบ้างเป็นครั้งคราวกับงาน แต่ผมก็คิดว่านั่นคือครูที่จะช่วยให้เราพัฒนาตนเอง
และพอมาเจอสภาวะเงินเฟ้อช่วงนี้ ผมเลยคิดว่าTIMING การเลิกทำธุรกิจตอนนี้ของผมที่จะมาลงทุนอย่างเดียวยังไม่ถึงจังหวะที่ดี
ยังไงคนที่จะหันมาลุยลงทุนอย่างเดียว ช่วงที่สภาวะไม่แน่นอนของเศรษฐกิจอย่างนี้ ขอให้ยึดหลัก เก้าอี้สามขาของจีนไว้ดีกว่าครับ



No comments: